วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

หมาขี้เรื้อน

 


ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่ง เพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน เพื่อเห็นแก่แม่
      บัณฑิตใหม่หมาดจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้ เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯ แห่งหนึ่งเสร็จแล้วผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์ รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสานพระหนุ่มการศึกษาสูง มาจากตระกูลผู้ดี มีแต่ความสุขสบาย เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือนแต่ก็นั่นแหละ กว่าจะ 'นิ่ง' ก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆ กันปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะ พระใหม่มีนิสัยชอบจับผิดและชอบอวดรู้ ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้รับการศึกษา สูงเหมือนอย่างตน ออกบิณฑบาต ได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลงเห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทน ไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็น การใหญ่หาว่าล้าสมัยไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี่
 
           ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่าท่านรองเจ้า อาวาสทำวัตรนานเหลือเกิน กว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปที ล้างไปบ่นไปตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำ ร่วมกับใครก็ไม่รู้ โอ้ชีวิต!ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถือดีว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่า ใครในวัดนั้นผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตูนึก แล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ กลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทิน นับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ

             อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็น ว่าท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่งวันๆไม่เห็นท่านทำอะไร เอาแต่กวาด ใบไม้ เก็บ ขยะ ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอนการบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสีย ทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชาอุตส่าห์เขียนคำวิพากษ์วิจารณ์การบริหารจัดการวัดได้ ร่วมยี่สิบข้อ เสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่า ล้าสมัยรวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็น ว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้วไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูกอีก
         หนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้นพระ ใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาสมีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้น เทศน์ให้มากขึ้นและแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวร เองเป็นต้นด้วยตนเอง ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำหลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ ธรรมชาติกลางลานทรายด้วย ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้ง หลายฟังแต่ ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตา  แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งที่นอนอยู่ ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ

'เธอ ทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อนคันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้น เดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน

แต่พวกเธอรู้ไหม เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ
หา ว่าแต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี  คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักทีเลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้ สักนิดไม่ว่า เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้น หาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่ แต่สาเหตุแห่ง อาการคันอยู่ที่โรคเรื้อนซึ่งเกาะกินอยู่บนหลังของตัวมันเองนั่นต่างหาก'

พูด จบแล้วหลวงพ่อก็นั่งหลับตา  สัญญาณให้รู้ว่า ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้นในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบแต่ในวุ่นว่ายนึก อย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง

 นับ แต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็ เปลี่ยนไปเป็นคนละคนจากคนพูดมาก กลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง แม้เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบ ครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก

'อาตมา เป็นหมาขี้เรื้อนขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสัก หนึ่งพรรษา' โยม แม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชายแล้วก็เดินออก จากวัดไปขึ้นรถพลางนึก ถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า 'หมาขี้เรื้อน'ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ 

ศาสนา พุทธเป็นศาสนาที่สอนหลักความจริงบนพื้นฐานของเหตุผล พุทธศาสนิกชนจึงควรเป็นคนที่มากด้วยเหตุผล นิยมการใช้เหตุผลมากกว่าการใช้อารมณ์ ชมชอบการใช้ 'ความรู้' มากกว่าการใช้ 'ความเห็น' 


พ่อครับ...ผมขอยืมเงินสองร้อยครับ

 

เสร็จจากงาน ถึงบ้าน เกือบสามทุ่มเข้าไปแล้ว เขาเดินเข้าบ้าน ที่ดูเงียบเหงา เนื่องจาก ภรรยาเสียชีวิตไปเมื่อปีกลาย ทิ้งลูกชายคนเดียวไว้ กับเขาให้หา เลี้ยงลูกตามลำพัง ดีว่าเจ้าหนูน้อยพอจะช่วยตัวเองได้บ้าง อาหารก็กิน อาหารปิ่นโต ที่ผูกประจำ หากินเองได้ ทำให้ ไม่เป็นภาระมากมาย นัก เข้ามาในบ้าน เหงื่ออาบแก้มยังไม่ทันได้พัก ผู้เป็นพ่อ
เห็นหน้าลูกชายวัยซน ที่รอรับเอ่ยปาก ทัก


' พ่อครับวันนี้ทำงานเหนื่อยมั้ยครับ '

' เหนื่อยสิ ลูกแล้ววันนี้ทำการบ้านเสร็จ แล้วเหรอ '

ผู้เป็นพ่อตอบเนื่อยๆ พร้อมกับ ถาม ต่อ ด้วยความเคยชิน

' เสร็จหมดแล้วครับ คือ ผม มีเรื่องบางอย่างอยากจะถามพ่อน่ะ พ่อว่างหรือยังครับ '

ลูกชายตัวน้อย ถาม ต่อ

''เดี๋ยวพ่อจะไปอาบน้ำ หาข้าวกินข้าวซัก หน่อย แล้วคงจะเข้านอนวันนี้เหนื่อยเหลือเกิน ว่าแต่แก จะถามอะไรพ่อเหรอ '

ผู้เป็นพ่อ ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า

' คือผมอยากรู้ ว่า พ่อทำงานได้ ค่าจ้างวันละเท่าไรครับ '

ลูกชาย ถามด้วยน้ำ เสียงใสซื่อ เค้าหันมามองหน้าลูกชาย พร้อมกับ ขมวดคิ้วด้วย ความสงสัย
แล้วผู้เป็นพ่อ แต่ก็ตอบไปว่า


' วัน ล่ะ สี่ร้อย '

' งั้นผม ขอยืม ตังค์ พ่อ ซักสองร้อยได้ มั้ยครับ '

ลูกชายตัวน้อยเอ่ยปากด้วยสายตาวิงวอน

' หา แกว่าไง นะ '

ผู้เป็น พ่อ ขึ้นเสียงด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ก่อนที่จะ หันมา พูดกับ ลูกชายด้วยเสียงเข้มขึ้น กว่าเดิม

' นี่ฟังนะ แกคิดว่า เงินทอง หาได้ง่ายๆ เหรอ กว่าพ่อจะได้เงิน สี่ร้อย บาท ต้องทำงานเหนื่อยตั้งแต่เช้ายันค่ำแต่พอกลับมาถึงบ้าน! เจอแก รอขอยืมเงิน พ่อง่ายๆแบบนี้น ี่นะแกลองไปคิดดูให้ดี สิว่าแกทำประโยชน์อะไรให้พ่อบ้าง
พ่อถึงจะต้องให้ เงินสองร้อยนี่ให้แก ยืม '

เด็กชายยืนนิ่ง มองหน้าพ่อ ไม่มีเสียงหลุดออก จาก ปาก แต่น้ำตาไหลซึม ลงอาบร่องแก้มทั้ง สองข้าง ก่อนที่จะหัน หลังเดินกลับห้อง ตัวเอง อย่างซึมเซา หลังจากอาบน้ำเสร็จ แวะเข้าครัว หาข้าวปลากินเรียบร้อย เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ เดินไป ที่ ระเบียง ความรู้สึกเคร่งเครียดที่ได้รับ มาจากงานนอกบ้าน เริ่มผ่อนคลาย คิดไป ถึงอดีตที่ผ่านและงานที่ทำมาทั้งวัน แล้วก็ ย้อน กลับคิดไปถึงลูกชายตัวน้อย ลูกเป็นเด็กดี ไม่เคยเกเร ไม่เคยเอ่ยปากขอเงินเพิ่ม นอกจากเงินค่าขนมที่เขาให้ ประจำวันเท่านั้น แต่วันนี้ทำไม ถึงเอ่ยปากยืมเงินเมื่อสักครู่ เขา เหนื่อยเกินไป หรือเครียดเกินไปหรือป่าว ถึงได้ใช้อารมณ์กับ ลูกไปอย่างนั้น เมื่อได้คิด เขาดับ บุหรี่ แล้วเดินไปที่ห้องลูกชายไฟในห้องนอนดับแล้ว เมื่อเปิดประตูเข้าไปเอื้อม มือเปิดไฟในห้อง หนูน้อยนอนตะแคงหน้าตายังคงลืมจ้องมองมาที่ประตูแก้มที่แนบกับหมอน ชุ่มด้วย น้ำตา พร้อมเสียงสะอื้นเบาๆอยู่คน เดียว เขาเดิน ไปนั่งที่ขอบเตียงมือลูบผม ลูกชายเบาๆ พร้อมกับ เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเครือ จุกคอ

' พ่อขอโทษนะลูก เมื่อกี้ พ่อเหนื่อยมามากเลยใช้อารมณ์ กับลูกมากไปหน่อย จริงๆตะกี้พ่อไม่ได้ถามลูกด้วยซ้ำว่า ลูกอยากยืม เงินพ่อไปทำไม ลูกอาจจะมีเหตุจำเป็นที่จะ ต้องใช! ้เงินก็ได้ เงินแม้ว่าจะหาได้ลำบาก ไม่ได้ได้มา ง่ายๆ แต่ถ้าลูกมีเหตุผลเพียงพอ พ่ออาจจะให้ยืม ก้อได้ เพราะว่า ลูก น่ะสำคัญสำหรับพ่อเหนือ สิ่งอื่นใด และพ่อรักลูกจ้ะ '
ว่าแต่ ไหน ลูกลองบอกพ่อสิว่า ลูกอยากยืม เงินสองร้อยไปทำ อะไร '

ผู้เป็นพ่อถามลูกชายที่มอง หน้าพ่อนิ่ง ด้วยน้ำเสียงปราณี เต็มเปี่ยมด้วยความรัก ลูกชายตัวน้อย ส่งเสียงสะอื้นจากลำคอ

' พ่อครับ ตั้งแต่แม่ ตาย ผมเห็นพ่อต้องทำงาน หนักเพื่อหาเงินทุกวัน จนไม่ได้พัก ไม่ได้อยู่กับผมเลย เราแทบไม่มีเวลาได้อยู่ด้วยกัน

ผมเลย ค่อยๆเก็บค่าขนมของผมไว้ ตลอดมาจนถึงตอนนี้ ผมเก็บได้สองร้อยบาทแล้ว แต่พอผมรู้จากพ่อ ว่า พ่อทำงานได้ ค่าจ้างวันล่ะสี่ร้อยผม! จึงอยากยืมพ่อเพิ่มอีกสองร้อย ให้เป็นสี่ร้อยเพื่อจะได้ใช้เป็นค่าจ้างให้พ่อได้พัก ได้อยู่กับผม ซักวันนึง ครับ '

เงินทอง อาจจะจำ เป็น ต่อการดำรงชีวิต แต่ ครอบครัว ยังคงต้องการ ความรัก ความอบอุ่น และ เวลาที่มีให้ แก่กัน' อย่าห่วงงานจนลืม ครอบครัว และ คนที่คุณรัก '

นิทาน สอนใจ : กล่องกระดาษของพ่อ





มีพ่อ ลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ ที่ชายป่า พ่อมีอาชีพปลูกผักและเก็บไปขายในเมือง ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบมีหน้าที่สำคัญคือไปโรงเรียนและตั้งใจศึกษาหาความรู้ลูกชาย ของคนปลูกผักเป็นเด็ก เรียนดีมีมารยาท เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์และผู้ใหญ่ที่พบเห็น แต่มาในระยะหลัง ผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นว่า ลูกมักจะกลับมาบ้าน ด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง เหมือนมีเรื่องขุ่น มัวในใจ จึงเรียกเข้ามาคุยด้วยในเย็นวันหนึ่งลูกรัก ระยะหลังมานี้พ่อ รู้สึกว่าลูกไม่ค่อย มีความสุขนัก หน้าตาของลูกบึ้งตึงไม่ชวนมอง โดยเฉพาะเวลาที่กลับ จากโรงเรียน มีอะไรเกิดขึ้นกับลูก บอกความจริงกับพ่อมา เถิด' ลูกชายไม่คิดปิดบังพ่อของ เขาอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาเห็นว่า พ่อเหนื่อยเพราะทำงาน หนัก จึงไม่อยากรบกวนให้ต้องมากังวลด้วยเรื่องของตนอีก แต่เมื่อพ่อเอ่ยปาก ถามมาเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป'ที่ ห้องของผมมีนักเรียน ย้ายมาใหม่ครับ เขาเป็นลูกคนมีเงิน แต่ชอบดูถูกคน และมักรังแกเพื่อนที่อ่อนแอกว่าเสมอ เมื่อเขาเห็นว่าผมสอบ ได้คะแนนดีและได้รับ คำชมจากครูบ่อย ๆ เขาก็มักพูดจาถากถาง และคอยกลั่นแกล้งผม อยู่ตลอดเวลา' ลูกชายระบายให้พ่อของเขาฟังอย่างคับแค้นใจ'แล้ว ลูกทำอย่างไรเมื่อโดน เขาแกล้ง' ผู้เป็นพ่อถามต่อผม พยายามไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่ยอมลดละ ผมคิดว่าผมคงทนเขาไปได้อีกไม่นานหรอกครับพ่อ สักวันผมจะต่อยเขา เอาให้เลือดของเขาไหลออกมาล้างปากเสีย ๆ ของเขาบ้าง'
พูดจบ ผู้เป็นลูกก็ตกใจวูบขึ้นมาทันที เพราะนึกได้ว่าตนเอง เผลอใช้คำพูดที่ รุนแรงออกไป เขาเหลือบมองหน้าพ่อ คิดว่าพ่อจะต้องโกรธ มากแน่ ๆ เพราะพ่อสอนเขาให้เป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษ ไม่ทำตัวเกกมะเหรก เกเร หาเรื่องชกต่อยกับใครทว่า พ่อของเขากลับไม่ได้พูดหรือแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา ลูกชายชั่งใจดูท่าทีของพ่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่าผมรู้ ว่าพ่อไม่ชอบให้ผม ก้าวร้าว แต่ผมทนไม่ไหวแล้วครับ ผมอยากให้ไอ้คนที่ทำ กับผมรู้จักความเจ็บ ปวดและอับอายบ้าง มันจะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง'ผู้เป็น พ่อมองหน้าลูกชายแล้ว ยิ้มน้อย ๆ เขาบอกแก่ลูกด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยว่าอีกสาม วันจะเป็นวันเกิดครบ สิบเอ็ดขวบของลูก ตัวพ่อเองก็ยากจน ไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่ พ่อจะให้ของขวัญแก่ ลูก'ลูกชาย รู้สึกงุนงงที่จู่ ๆ พ่อก็พูดเรื่องนี้ ขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขารู้สึกดีใจมาก และเฝ้านับวันรอให้ วันเกิดในอีกสามวันมา ถึงเร็ว ๆครั้น เมื่อถึงวันเกิดของ ลูกชาย คนปลูกผักก็นำของขวัญมามอบให้แก่ลูกชายของเขาตามสัญญา เป็นกล่องกระดาษสีขาว และสีดำ ขนาดใหญ่ อย่างละ 1 กล่องพ่อค รับ ทำไมต้องให้ของขวัญแก่ผมตั้งสองชิ้นล่ะครับ ถึงผมจะอยากได้ของ ขวัญจากพ่อ แต่แค่ชิ้นเดียวก็น่าจะพอแล้ว' ลูกชายกล่าวด้วยความ เกรงใจ ด้วยรู้ว่าพ่อขายผักแต่ละครั้งได้เงินไม่มากนักลูกรัก พ่อตั้งใจมอบของขวัญ ให้ลูกเช่นนี้เอง เพราะมันจำเป็นแก่ตัวลูกทั้งสองกล่อง จงรับไปจากพ่อเถิด'ลูกชาย ก้มลงกราบเท้าพ่อและ กล่าวคำขอบคุณอย่าง ซาบซึ้งใจ จากนั้นเขาจึงลงมือแกะเชือกที่ผูกกล่องกระดาษสีขาวออก แต่ก็พบว่า ในกล่องสีขาวนั้น ไม่มีอะไรอยู่เลย ขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงคำถามเปิด กล่องสีดำด้วยสิลูก รัก' พ่อของเขากล่าวแทนคำตอบลูกชาย รีบแกะเชือกที่ผูก กล่องสีดำออก แต่ในกล่องสีดำก็ไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกับกล่องสีขาว นอกจากรูขนาดใหญ่ที่ ถูกเจาะเอาไว้ตรงก้น กล่องเท่านั้น'พ่อค รับ ไม่มีอะไรอยู่เลยนี่ครับ' ลูกชายบอกกับพ่อของ เขา 'พ่อลืมใส่ของลงไปหรือเปล่าครับ หรือเพราะว่ากล่อง กระดาษสีดำก้นรั่ว ของที่พ่อใส่ไว้ก็เลยหล่นหายไปโดยที่พ่อไม่รู้ครับ'ผู้เป็น พ่อยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ลูกชายพร้อมกับบอกว่า
'พ่อคง ให้ของขวัญแก่ลูกได้ แค่กล่องกระดาษสองใบ นี้ แต่ของที่อยู่ข้างใน ลูกะต้องเป็นผู้ใส่ มันลงไปเอง กล่องกระดาษสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ต่อไปนี้ เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับสิ่งดี ๆ หรือเรื่องที่ทำให้ลูกมีความสุข ขอให้ลูกเขียนมันลงไป ในเศษกระดาษและนำมา ใส่ไว้ในกล่องสีขาว ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์ ไม่ว่าอะไรที่ทำให้ จิตใจของลูกเป็นทุกข์ มัวหมอง ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน'แม้จะ ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อ จะต้องให้ทำเช่นนี้ แต่ลูกชายก็ยอมทำตามคำขอของพ่อแต่โดยดี ทุก ๆ วันเขาจะนำเศษกระดาษมากมายที่เขียนเรื่องราวดี ๆ ในชีวิตหย่อนลงไปในกล่องสีขาว และเอาเศษกระดาษอีก มากมายที่เขียนเรื่อง ราวไม่ดีหย่อนลงไป กล่องสีดำ โดยผู้เป็นพ่อคอยเฝ้ามองการกระทำนี้อยู่เงียบ ๆสาม เดือนผ่านไป เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับมาจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยิ่งกว่าวันไหน ๆ เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงบนเก้าอี้ด้วยความกราดเกรี้ยว และทำท่าจะผลุนผลัน ออกจากบ้านไปอีกครั้ง แต่คนปลูกผักสังเกต เห็นก่อน เขาปราดเข้าไปยุดตัวลูกชายไว้และสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้นผมทน ไม่ไหวแล้วครับพ่อ ไอ้คนเลวคนนั้นมันดูถูกพวกเรา มันว่าพ่อเป็นแค่คนปู กผักยากจน มันว่าเราสองคนเป็นคนชั้นต่ำไม่มีเกียรติ แล้วมันยังขโมย หนังสือเรียนของผมไป ทิ้งในถังขยะด้วย ผมจะไปจัดการมัน จะทำให้มันเจ็บและจำไปจนตายเลยที่มันบังอาจมาดูถูกพ่อ'คนปลูก ผักไม่ได้โกรธตามลูก ชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า 'วันนี้ลูกเขียน เรื่องสุข และทุกข์ใส่ในกล่องสีขาวและกล่องสีดำหรือยัง'ลูกชาย ประกาศเสียงกร้าว ทันทีว่า 'ผมจะไปจัดการไอ้คนนั้นก่อน ให้มันรู้ว่าเราจะไม่ ยอมให้มันมาดูถูกเรา ได้อีก'ลูก ต้องไปเขียนก่อน' พ่อบอกเสียงเรียบ 'เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน'ลูกชาย มองหน้าพ่ออย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้เปิดกล่องพÃกนั้นในเวลานี้ด้วย แต่เขาไม่ใช่เด็กดื้อ จึงยอมข่มอารมณ์โกรธ ลงชั่วคราวแล้วทำตาม ที่พ่อบอกหลังจาก หย่อนกระดาษความสุข ความทุกข์ลงในกล่อง กระดาษสีขาวสีดำเรียบ ร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อจึงบอกให้ลูกชายยกกล่องกระดาษสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้านโอ้โห แค่สามเดือนที่ผมใส่ เศษกระดาษลงไป ผมไม่คิดเลยว่าจะทำให้กล่องสีขาวหนักได้ขนาดนี้' ลูกชายอุทานอย่างคาด ไม่ถึงผู้เป็น พ่อยิ้ม และบอกว่า 'ทีนี้ลูกไปยกกล่องสีดำมาวางตรงนี้ด้วยสิ'กล่อง สีดำน่าจะหนักกว่านี้ อีกนะครับ เพราะว่าผมใส่เรื่องไม่ดีของคนที่ชอบแกล้งผมเอาไว้มากทีเดียว'แต่ ทันทีที่ลูกชายยก กล่องกระดาษสีดำ ขึ้นจากที่ตั้งเดิม ของมัน เศษกระดาษมากมายที่เคยอัดแน่นอยู่ภายในก็ร่วงพรูออกมาจากก้นกล่อง บัดนี้ กล่องกระดาษสีดำก็เบาหวิวไร้น้ำหนัก เพราะไม่มีอะไรคง เหลืออยู่ในนั้น แล้วลูกชาย หันไปมองหน้าพ่อผมลืม ไปเสียสนิทเลยครับว่า กล่องใบนี้มีรูอยู่ ด้วย เดี๋ยวผมจะเก็บเศษกระดาษพวกนี้ไปใส่กล่องใบใหม่นะครับ'แต่ ผู้เป็นพ่อบอกว่า 'เก็บไปทำไมล่ะลูก เมื่อมันร่วงออกมา จากกล่องแล้วมันก็ คือขยะ ใส่กลับเข้าไปไม่ได้อีก ลูกไปเอาไม้กวาด มากวาดมันทิ้งไปให้ หมดเถิด ต่อไปกล่องแห่งความทุกข์ของลูกจะได้ว่างเปล่า ไม่มีความขุ่นข้อง หมองใจเหลืออยู่อีก ในขณะที่กล่องแห่ง ความสุขของลูกจะ เต็มไปด้วยความสุข ตลอดเวลา'อัน ที่จริง เมื่อลูกบอกพ่อว่า ลูกทนคนที่กลั่น แกล้งทำร้ายลูกไม่ ไหวนั้น พ่อก็ไม่เห็นว่าทำไมลูกจะต้องทนเขาด้วย เพราะเรื่องนี้ไม่ มีอะไรต้องทนเลย เพียงแค่ลูกไม่เก็บเอาสิ่งแย่ ๆ ที่เขาทำกับลูกมาขังไว้กับตัวเอง ไม่ต้องไปทำความ รู้จักมัน ความทุกข์นั้นก็ระรานหัวใจของลูกไม่ได้ ดูในกล่องสีขาวสิ ลูก ความสุขความภูมิใจของลูกตั้งมากมายก็อัดแน่นอยู่ในนั้นทำไมลูกถึงมองข้าม ไป ละทิ้งความทุกข์ซึ่งไร้ประโยชน์กับชีวิตของลูก แล้วอยู่กับสิ่งที่ ทำให้ลูกเป็นสุขไม่ ดีกว่าหรือ'ลูกชาย มองหน้าพ่ออย่าง อัศจรรย์ใจ เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของกล่องกระดาษสองใบนั้นอย่างแจ่มชัดในวันนี้เอง ความโกรธขึ้งที่มีต่อ เพื่อนคนนั้นค่อย ๆ จางหาย หัวใจผ่อนคลายไม่บีบรัดเหมือนเมื่อครู่ ความเปลี่ยนแปลงนี้ เกิดขึ้นได้ก็เพราะ กล่องแห่งความทุกข์ ของเขาว่างเปล่าแล้วนั่นเอง
 

บท สรุปของผู้แต่ง
ช่างน่าฉงนจริง ๆ ที่คนเรามักจะจดจำเรื่องราวที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดได้แม่นยำ และยาวนานกว่าความสุขอีกตั้งมากมาย ที่เราเคยรู้จัก สิ่งที่คนปลูกผักมอบให้เป็นของขวัญแก่ลูกชาย ไม่ใช่แค่กล่องกระดาษสีขาวหรือ สีดำ แต่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข ด้วยการละทิ้งความ ทุกข์ แล้วทำความรู้จักกับความสุขที่มี  ให้มากกว่าเดิม เพียงการให้ที่แสนจะธรรมดาครั้งเดียวนี้ก็ทำให้ลูกของเขารู้จักความสุขไปจน ตลอดชีวิต
เราอาจจะเลี่ยงคนสกปรก ที่ชอบโยนขยะ และความโสโครกใส่หน้าบ้านเรา ไม่ได้ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ก้มลงเก็บมันเข้ามาไว้ในบ้าน และกวาดมันทิ้งไปอย่างไม่แยแสได้ แน่นอนว่าการรับมือกับคนพวกนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าเราทำได้ ต่อไปความสกปรกก็จะหายไปจากหน้าบ้านของเราเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย


ขอบคุณ นิทานดี ๆ จากหนังสือด้วยรักบันดาล นิทานสีขาว เล่าเรื่องโดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

--
'สิ่งใดไม่เปลี่ยนแปลงไม่มี เป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง'   

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ถึงเธอไม่รู้จักผม แต่ผมยังรู้ว่าเธอเป็นใคร‏




ถึงเธอไม่รู้จักผม แต่ผมยังรู้ว่าเธอเป็นใคร‏


 มันเป็นตอนเช้าเวลาประมาณ 08.30 น. ที่วุ่นวายเอาการเมื่อสุภาพบุรุษสูงอายุท่านหนึ่งในวัย 80 กว่ามารับบริการแพทย์ตัดไหมจากแผลที่หัวแม่มือ และบอกว่าขอให้รีบหน่อยเพราะมีนัดตอน 09.00 น. เมื่อผมตรวจร่างกายตามปกติเสร็จผมก็ขอให้นั่งรอโดยผมรู้ว่าอย่างไรเสียก็ไม่ หนีหนึ่งชั่วโมง กว่าที่จะถึงคิว
ผมเห็นสุภาพบุรุษท่านนี้ดูนาฬิกาหลายครั้งอย่างกระสับกระส่าย ผมว่างอยู่พอดีจึงเข้าไปดูแผลให้ เมื่อตรวจดูก็เห็นเป็นปกติ ผมจึงเดินไปหารือกับหมอคนหนึ่งที่ให้บริการอยู่ เอายาและวัสดุมาทำแผลให้ ขณะที่ตัดไหมอยู่ผมก็ถามว่า มีนัดกับหมออีกคนหรือจึงดูรีบร้อนสุภาพบุรุษท่านนี้ตอบว่าไม่หรอก แต่จำเป็นต้องรีบไปเนิร์ซซิ่งโฮมเพื่อกินอาหารเช้ากับภรรยา ผมก็ถามถึงสุขภาพของภรรยา ก็ตอบว่าภรรยาอยู่ที่นั่นมานานพอควรแล้ว และเธอเป็นโรค Alzheimer’s
ขณะที่คุยกันผมก็ลองถามดูว่าเธอจะรู้สึกกังวลเป็นทุกข์ไหมถ้าไปสายสักหน่อย สุภาพบุรุษท่านนี้ก็ตอบว่า เธอไม่รู้หรอกว่าผมเป็นใคร เธอจำผมไม่ได้มา 5 ปีแล้ว ผมรู้สึกแปลกใจจึงถามว่า ‘แล้วคุณก็ยังไปทุกเช้าถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าคุณเป็นใครก็ตาม’ สุภาพบุรุษสูงอายุยิ้มและตบเบาๆ บนมือผมและพูดว่า ‘ถึงเธอไม่รู้จักผม แต่ผมยังรู้ว่าเธอเป็นใคร’ ผมต้องกลั้นน้ำตา ขณะที่เดินจากไป ขนบนแขนผมลุกชันและคิดว่า ‘นั่นคือความรักอย่างที่ผมต้องการที่สุดในชีวิต’
ความรักที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องของกายภาพหรือโรแมนติก ความรักที่แท้จริงคือการยอมรับทุกสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ได้เป็นมาตลอด รวมทั้งที่จะเป็น และที่จะไม่เป็นด้วย คนที่มีความสุขที่สุดไม่จำเป็นว่าจะต้องมีสิ่งดีที่สุดของทุกสิ่ง เขาเพียงทำสิ่งที่เขามีอยู่ให้ดีที่สุด

ผมขอบอกว่า ….  ‘ชีวิตไม่ใช่เรื่องของการทำอย่างไรให้รอดจากพายุฝน แต่เป็นเรื่องของการจะเล่นน้ำฝนอย่างไร’




(Life is not about how to survive the storm, but how to )